เด็กยุคใหม่ในช่วงอายุ 20-30 ปี มักถูกเรียกว่าเป็น “Social Media Native”หรือคนที่เติบโตมากับเทคโนโลยีและโซเชียลมีเดียอย่างเต็มรูปแบบ พวกเขาใช้สมาร์ตโฟน อินเทอร์เน็ต และแพลตฟอร์มดิจิทัลมาตั้งแต่เล็กจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน

ความคุ้นเคยนี้ทำให้พวกเขาถนัดการสื่อสารผ่านเทคโนโลยีมากกว่าการพูดคุยแบบเห็นหน้า หรือแม้กระทั่งการโทรศัพท์ก็ตาม การติดต่อกันในยุคนี้ส่วนใหญ่เกิดขึ้นผ่านอีเมล แอปพลิเคชันแชต เช่น Line หรือ WhatsApp และแพลตฟอร์มโซเชียลอื่น ๆ ที่ตอบโจทย์ความรวดเร็วและความสะดวกสบายมากกว่าการพบปะพูดคุยกันจริง ๆ
อย่างไรก็ตาม ปรากฏการณ์หนึ่งที่พบได้บ่อยในกลุ่มคนวัยนี้คือการมี “ข้อความที่ยังไม่ได้อ่าน” (Unread Messages) เป็นจำนวนมหาศาล หลายคนมีข้อความนับร้อยหรือแม้กระทั่งนับพันที่ไม่ได้เปิดอ่าน เหตุผลสำคัญมาจากความล้นหลามของข้อมูลและการแจ้งเตือนในแต่ละวัน
การติดต่อสื่อสารในทุกแพลตฟอร์ม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานหรือเรื่องส่วนตัวถูกหลอมรวมเข้าด้วยกันจนแยกไม่ออก ทำให้บางข้อความถูกละเลยหรือมองข้ามโดยไม่ตั้งใจ
โดยเฉลี่ยแล้วผู้ใช้งานเปิดอ่านข้อความจริงเพียงประมาณ 30% ของข้อความทั้งหมดที่ได้รับ ส่วนที่เหลือมักจะถูกเลื่อนผ่านเพราะความเร่งรีบ หรือการเลือกให้ความสำคัญเฉพาะบางคนบางเรื่องเท่านั้น
การเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรมนี้ทำให้เกิดคำถามว่า เราควรจะใช้รูปแบบการสื่อสารแบบใดกับคนรุ่นใหม่จึงจะมีประสิทธิภาพ? คนวัย 20-30 ปีส่วนใหญ่พยายามหลีกเลี่ยงการพบปะหรือโทรศัพท์คุยกันโดยตรง เนื่องจากมองว่าเป็นวิธีที่ใช้เวลามากเกินไป หรือไม่สะดวกเมื่อเทียบกับการส่งข้อความ
แต่ในทางกลับกัน พวกเขาก็ไม่ได้ตอบสนองต่อข้อความอย่างเต็มที่เช่นกัน หลายครั้ง การตามงานหรือการสื่อสารเรื่องสำคัญอาจถูกปล่อยผ่าน เพียงเพราะอีกฝ่ายไม่เปิดอ่านข้อความ
ตัวอย่างที่เห็นชัด คือ แอปพลิเคชันอย่าง Line ที่คนรุ่นใหม่มักใช้ทั้งในเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว ทำให้ข้อความ ที่มีความสำคัญต่อการทำงานอาจถูกดันหายไปอยู่ด้านล่าง และผู้รับก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะตามอ่านทุกข้อความ หากคนรุ่นเก่าอย่าง GenX หรือ Boomer พบว่ามีเรื่องเร่งด่วน พวกเขาจะเลือกเดินไปพูดคุยแบบเห็นหน้าทันที ซึ่งช่วยให้การสื่อสารราบรื่นและชัดเจนกว่าการส่งข้อความเพียงอย่างเดียว ในทางกลับกัน คนรุ่นใหม่อาจส่งข้อความตามงานแค่ครั้งเดียวแล้วปล่อยเลย ไม่สนใจว่าผู้รับจะเห็นหรือไม่ เพราะมองว่าเป็นหน้าที่ของผู้รับเองที่จะต้องตรวจสอบ
สิ่งนี้ก่อให้เกิดปัญหาในโลกการทำงานและการใช้ชีวิตร่วมกัน การสื่อสารที่ไม่ครบถ้วนหรือหลุดหายอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิด งานสะดุด หรือแม้กระทั่งความขัดแย้งโดยไม่จำเป็น ข้อความเพียงอย่างเดียว อาจไม่สามารถสื่ออารมณ์ น้ำเสียง หรือความเร่งด่วนได้ดีเท่าการพูดคุยต่อหน้า ในขณะที่การพบปะกันโดยตรงอาจสร้างความเข้าใจที่ลึกซึ้งกว่าและช่วยให้แก้ปัญหาได้ทันที
ดังนั้นทั้งคนรุ่นใหม่และคนรุ่นเก่าจำเป็นต้องปรับตัวเข้าหากัน คนรุ่นใหม่ควรให้ความสำคัญกับการสื่อสาร แบบเห็นหน้าหรือโทรศัพท์ในบางโอกาส โดยเฉพาะเรื่องที่มีความสำคัญหรือซับซ้อนเกินกว่าจะอธิบาย ผ่านข้อความสั้นๆ ขณะเดียวกัน องค์กรและทีมงานควรมีระบบการสื่อสารที่ชัดเจน เช่น แยกแอปสำหรับงานออกจากเรื่องส่วนตัว หรือกำหนดช่องทางหลักในการสื่อสารเพื่อหลีกเลี่ยงข้อความที่ตกหล่น
ท้ายที่สุดแล้ว การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพไม่ใช่แค่การส่งข้อมูลให้เร็วที่สุด แต่ต้องคำนึงถึงการ “เข้าถึง” และ “เข้าใจ” ด้วย
เด็กยุค Social Media Native อาจจะชำนาญในเรื่องความเร็วของข้อมูล แต่ถ้าไม่รู้จักเลือกใช้วิธีการสื่อสารให้เหมาะสม ก็อาจสูญเสียความชัดเจนและความสัมพันธ์อันดีไปโดยไม่รู้ตัว
เครดิต : https://www.bangkokbiznews.com/blogs/tech/gadget/1191850